วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คุณรู้ไหม

                                                    คุณรู้ไหม
Benz Patent Motor Car : รถคันแรกของโลกมี 3 ล้อ!!
?Benz นำเครื่องยนต์หนึ่งแรงม้ามาใส่ในจักรยาน?เป็นหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ Neue Badische Landeszeitung(หนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายในแคว้น Baden ทางตอนใต้ของเยอรมนี)ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1886 บทความดังกล่าวเขียนไว้ว่า
       

       ?มันได้เรียกความสนใจอย่างมากจากเพื่อน ๆ ที่ยังคงใช้รถจักรยานสองล้ออยู่ ยิ่งได้รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Benz & Cie. บริษัทในท้องถิ่นที่เป็นผู้ผลิตจักรยานแบบสามล้อ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นบริษัทที่ทำการผลิตเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์นี้มีกระบอกสูบเพียง 9 เซนติเมตรและถูกติดตั้งไว้บนขดสปริงเหนือเพลาระหว่างสองล้อหลัง ผลิตกำลังได้เกือบ ๆ จะหนึ่งแรงม้า รอบเครื่องยนต์หมุน 300 รอบภายในหนึ่งนาที รูปร่างของรถคันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างหรือใหญ่โตกว่ารถจักรยานแบบสามล้อทั่วไปอย่างไรก็ตามจากรูปลักษณ์ก็ดูคล่องแคล่วไม่ใช้น้อย และสร้างความประทับใจเมื่อแรกเห็นเป็นอย่างมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะได้รับความนิยมอย่างมากต่อไปรวมไปถึงการปรับปรุงให้ใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยมและจะเป็นประโยชน์ในการใช้งานสำหรับแพทย์, นักเดินทาง, นักกีฬาและอื่น ๆ อีกมากมายในอนาคตอันใกล้?
              โดยตัวของผู้เขียนบทความกล่าวดังกล่าวน่าจะเป็นพวกผู้ชื่นชอบกีฬาที่ต้องใช้ยานพาหนะเป็นส่วนประกอบ เพราะกีฬาที่อาศัยการหมุนของล้อกลม ๆ เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไม่ใช่น้อยเพระเขามีความเชื่อมั่นและมีโอกาสสัมผัสกับความพิเศษของยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์น้ำหนักเบาและเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ขณะนั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ.1886 นักข่าวคนเดียวกันได้รายงานไว้ว่า?เครื่องยนต์เบนซินที่ออกแบบและผลิตโดย Rheinische Gasmotorenfabril Benz & Cie. ซึ่งเป็นหัวข้อข่าวไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนถูกทดสอบเช้าวันนี้ที่ Ringstrbe และผลการทดสอบเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก?
     
       ในปี 1886 คาร์ล เบนซ์ ได้พัฒนายนตรกรรมคันแรกของโลกที่ผลิตภายใต้แนวคิดแบบองค์รวม โดยมีการนำตัวยานพาหนะ และเครื่องยนต์มาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างระบบเครื่องจักรกลอันมีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งขึ้นเป็นครั้งแรก หมายเลขสิทธิบัตรของยนตรกรรมคันนี้ คือ DRP no. 37435 ที่ออกให้โดยสำนักงาน Imperial Patent Office เมื่อวันที่ 29 มกราคม ปี 1886 น้ำหนักโดยรวมของรถอยู่ที่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัม เฉพาะเครื่องยนต์อย่างเดียวก็หนักเกินกว่า 100 กิโลกรัม จึงทำให้ยนตรกรรมจากเบนซ์คันนี้มีน้ำหนักเบาเป็นอย่างมาก ระบบขับเคลื่อนก็มีความทันสมัยอย่างยิ่งในขณะนั้น ด้วยห้องเผาไหม้เชื้อเพลิงภายในของเครื่องยนต์เป็นแบบสูบเดียว 4 จังหวะที่ติดตั้งในแนวนอนช่วยสร้างศักยภาพในการระบายความร้อนตามแบบ Thermosyphon และระบบการหล่อหลื่นแบบ drip lubrication
              โครงสร้างของตัวถังทำจากเหล็กที่ตัดเชื่อมให้โค้งงอเข้ารูป และด้วยเหตุที่เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหลังในกรณีเช่นที่ต้องเข็นรถจากทางด้านหลัง Karl Benz เกรงว่าจะเกิดปัญหาให้กับระบบพวงมาลัยซึ่งมีระบบที่แตกต่างไปจากยานพาหนะที่ใช้กันอยู่ในขณะนั้น เขาจึงตัดสินใจให้รถยนต์คันแรกของมีเพียงสามล้อเท่านั้น โดยที่ล้อหน้าติดตั้งในลักษณะเหมือนกับล้อรถจักรยานและควบคุมการเคลื่อนที่ด้วยแรงดึงจากเฟืองซึ่งเชื่อมต่อกับข้อเหวี่ยง(ป็นการใช้งานในขั้นตอนแรกเริ่มก่อนที่ Benz จะประดิษฐ์ระบบพวงมาลัยแบบ SdoubleOpivot ซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งยิ่งต่อวงการยานยนต์ของโลกในปี 1893)
     
       Benz ได้ผลิตล้อแบบซี่ลวดและยางตันด้วยตัวของเขาเองมีเพียงขอบล้อเท่านั้นที่เป็นแบบ outsourced ล้อหน้าทำงานด้วยลูกปืนล้อส่วนล้อหลังงมีปลอกทำด้วยดีบุกหุ้มป้องกันการเสียดสี ขับเคลื่อนด้วยโซ่ที่อยู่ด้านซ้ายและขวาขับเคลื่อนเพลาถ่วงดุลน้ำหนักเบาที่ล้อหลังซึ่งจะส่งผลต่อตัวรถเช่นเดียวกับเพลาหลังแบบแข็งและสปริงรูปไข่
     
       
รถยนต็คันแรกของโลกมีเพียงเกียร์เดียวและไม่มีเกียร์ถอยหลัง ความเร็วที่ใช้ในการขับเคลื่อนได้มาจากเพลาถ่วงดุลย์ที่ประกอบด้วยจานขับตัวหลักและเฟืองขับพร้อมทั้งตัวควบคุมรอบเดินเบา ลิ้นเปิดปิดควบคุมการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับเพลาถ่วงดุลย์ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคลัทช์ การสตาร์ทเครื่องยนต์ทำโดยหมุนสายพานที่อยู่ระหว่างจานที่ควบคุมรอบเดินเบากับจานขับหลัก ความเร็วที่ใช้ขึ้นอยู่กับการควบคุมของปลอกลูกเลื่อนที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ
       

       
รถคันที่โชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์ เมอร์เซเดส- เบนซ์ ณ เมืองสตุ๊ตต์การ์ตขณะนี้นั้นเป็นแบบจำลองจากของจริงที่ คาร์ล เบนซ์ผลิต เพราะเขาได้อุทิศให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติในเมืองมิวนิค เมื่อปี 1906
       

     
       
ปีที่ผลิต1886
กำลังเครื่องยนต์0.55 กิโลวัตต์ (0.75 แรงม้า) ที่ 400 รอบต่อนาที
ความจุกระบอกสูบ954 cc
ช่วงชักกระบอกสูบ91.4 x 150 มิลลิเมตร
ความเร็วสูงสุด15 กิโลเมตร/ชั่วโมง
น้ำหนัก265 กิโลกรัม

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายไม่เสียงาน

                                 ออกกำลังกายไม่เสียงาน
            เราจะออกกำลังกายอย่างไรที่สามารถทำงานบ้านไปด้วย  ซึ่งแม่บ้านหลายท่านคงจะมีวิธีการต่างๆ ที่สามารถทำให้ออกกำลังกายไปด้วยและได้ทำงานบ้านที่เป็นงานประจำด้วย  โดยได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง  วันนี้เรามีสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ที่เราก็สามารถทำได้และราคาถูกด้วย

อัพ สตรีม: สุดยอดสิ่งประดิษฐ์จากถังน้ำพลาสติก



แม้ว่าก่อนหนน้านี้ เราเคยนำเสนอผลงานนวัตกรรมเครื่องซักผ้าพลังเหยียบ ที่มีชื่อว่า GiraDora แต่วันนี้เราขอนำเสนอสิ่งประดิษฐ์ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมอีกหนึ่งชิ้น นั่นก็คือ เครื่องซักผ้าที่มีต้นทุนการผลิตน้อยกว่า แถมยังมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับ GiraDora กล่าวคือ สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ไม่มีทั้งน้ำประปาและไฟฟ้าใช้สำหรับซักผ้า แต่ทว่างานซักเป็นงานที่แม่บ้านหลายท่านต้องปาดเหงื่อ เนื่องจากกินเวลาหลายชั่วโมง

อารอน สเตธัม และอีเลียต โควีนา นักศึกษาสาขาวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้ออกแบบสิ่งประดิษฐ์เพื่อช่วยลดเวลาในการซัก สิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้มีชื่อว่า อัพ สตรีม (Up-Stream) ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ถังน้ำพลาสติกขนาดบรรจุ 5 แกลลอน เชือกพลาสติก ท่อประปาเหล็ก และยางเทียมสำหรับคุลมถังพลาสติกที่เจาะรูเพื่อระบายน้ำทิ้ง เครื่องซักผ้าดังกล่าวอาศัยการทำงานของล้อและเพลาที่อยู่ในแนวเดียว ซึ่งทำให้ล้อและเพลาหมุนด้วยจำนวนรอบที่เท่ากัน ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถสอดปลายเท้ากับเชือกที่ผูกเป็นบ่วง วางเท้าแล้วกดน้ำหนักลงที่บ่วงเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า หลังจากสิ้นสุดขั้นตอนการซักล้าง ผู้ใช้สามารถปั่นผ้าให้หมาด ด้วยการคลายเกลียวเชือกจากนั้นดึงเชือกด้วยความแรงพอสมควร
ทั้งนี้ อารอน สเตธัม และอีเลียต โควีนา เชื่อว่าสามารถผลิตเครื่องซักผ้ารุ่นดังกล่าวในราคาต่ำกว่า 4 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากผลิตจากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น แถบยังสามารถประกอบและซ่อมแซมได้ง่ายอีกด้วย


Gira Dora คืออะไร

                                          Gira Dora ( กิราร์โดรา )
             กิราร์โดรา คืออะไร เรามาทำความรู้จักกับคำๆนี้ไปพร้อมๆกัน

         

เครื่องซักผ้าพลังเหยียบ ราคาสบายกระเป๋า


เมื่อปีที่ผ่านมา อเล็กซ์ คาบูน็อค และ จี อา โหยว นักศึกษาสาขาวิชาการออกแบบจากสถาบันอาร์ต เซ็นเตอร์ คอลเลจ ออฟ ดีไซน์ (Art Center College Design) ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคม ได้มีโอกาสเดินทางจากนครลอสแอนเจลิส ไปยังเซอโร เวอร์เด้ ชุมชนแออัด ชานเมืองลิมา ประเทศเปรู (ชุมชนแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 30, 000 ครัวเรือน) เพื่อทำโครงการวิจัยภาคสนามที่มีชื่อว่า “เซฟ อควา เปรู”  (Safe Aqua Peru)  ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนานวัตกรรมในเชิงพาณิชย์เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ระหว่าง 4 ถึง 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

โครงการดังกล่าวมุ่งหวังที่จะผลิตนวัตกรรมเพื่อชุมชนที่ยากไร้ ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ จากการลงพื้นที่สำรวจภาคสนาม พบว่างานซักทำให้สิ้นเปลืองเวลาถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้น คณะจึงมีแนวคิดที่จะออกแบบเครื่องซักผ้าที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถทำงานโดยอาศัยการกดน้ำหนักเท้าลงบนคันเหยียบ จึงคิดค้นนวัตกรรมที่มีชื่อว่า GiraDora (กิราร์โดรา)

กิราร์โดราเป็นเครื่องซักผ้าที่ผลิตจากถังน้ำพลาสติกที่สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก ใช้งานได้ง่าย ซักผ้าได้โดยไม่ใช้ไฟฟ้า และมีราคาย่อมเยาเหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย เครื่องซักผ้ารุ่นดังกล่าวยังใช้น้ำในปริมาณน้อย ทำความสะอาดได้เร็ว แถมยังประหยัดแรงกว่าการซักผ้าด้วยมือ โดยผู้ใช้งานสามารถหยิบจับงานอื่นขึ้นมาทำระหว่างซักผ้าได้ 

เครื่องซักผ้ารุ่นนี้มีหลักการทำงานที่ไม่ยุ่งยาก กล่าวคือ ผู้ใช้งานสามารถเติมผงซักฟอกและน้ำลงไปในถัง ใส่เสื้อผ้าที่จะซักลงไปแล้วปิดผาถังพลาสติกให้สนิท ก่อนที่จะนั่งลงบนเบาะรองนั่ง แล้วเดินเครื่องด้วยการกดน้ำหนักเท้าลงบนคันเหยียบ ทั้งนี้ ตำแหน่งการนั่งมีลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ช่วยป้องกันอาการปวดหลังจากการเอี้ยวตัว

อนึ่ง ในช่วงฤดูหนาวต้องใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์กว่าเสื้อผ้าจะแห้งสนิท แต่กิราร์โดราสามารถสะบัดน้ำจากผ้าจนหมด ปั่นเสื้อผ้าจนหมาด ทำให้เสื้อผ้าแห้งเร็วยิ่งขึ้น หมดปัญหาเรื่องเชื้อราและอาการเอ็นอักเสบที่ข้อมือจากการบิดผ้า

ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทดลอง โดยคณะได้ร่วมงานกับชุมชนอย่างใกล้ชิด และผลงานชิ้นเอกนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยสามารถกวาดรางวัลจากหลายเวทีไม่ว่าจะเป็น The Dell Social Innovation Challenge และ The International Design Excellent Awards (IDEA)

นับได้ว่ากิราร์โดราเป็นผลงานการออกแบบเชิงนวัตกรรมเพื่อสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตไม่ถึง 40 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น แถมยังทำให้ผู้ใช้งานมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกด้วย



Share on facebookShare on printShare on twitterShare on googleMore Sharing Services

แบตเตอรี่ชาร์จไฟเพียงเสี้ยวนาทีได้จริงหรือ

                  แบตเตอรี่ชาร์จไฟเพียวเสี้ยวนาทีได้จริงหรือ

แบตเตอรี่ชาร์จไฟเพียงเสี้ยวนาที












Ulsan National Institute of Science and Technology (UNIS) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ตั้งอยู่ในเมืองอุลซัน ประเทศเกาหลีใต้ เปิดตัวงานวิจัยแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่สามารถชาร์จไฟได้เร็วกว่าแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนทั่วไปๆ 30 ถึง 120 เท่า 

นักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันดังกล่าวนำวัสดุแคโทด และลิเทียมแมงกานีสออกไซด์ จุ่มลงไปในสารละลายที่มีแร่แกรไฟต์ผสมอยู่ภายใต้สภาพอับอากาศ ทำให้แร่แกรไฟต์เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเส้นใยที่มีคุณสมบัตินำไปฟ้า ก่อให้เกิดปฏิกิริยาไฟฟ้าที่ขั้วแอโนด (ขั้วลบ) ขั้วแคโทด (ขั้วบวก) รอบสารละลายอิเล็กโทรไลต์ แรงดัน
ไฟฟ้าที่ได้ทำให้แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟได้เร็วขึ้น เนื่องจากประจุไฟฟ้ากระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ก็ยังเป็นอุปสรรค์สำคัญต่อการพัฒนาต่อยอดผลงานชิ้นนี้ จึงยังคงเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาแบตเตอรี่รุ่นดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นกล่าวตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติด้านเคมีของเยอรมนี (Angewandte Chemie International Edition)

เรื่องน่ารู้

                                          เรื่องน่ารู้

ห้องเปลื้องทุกข์เปลี่ยนของเสียเป็นกระแสไฟฟ้าและปุ๋ย



นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง (NTU) ประเทศสิงคโปร์ ได้คิดค้นระบบห้องน้ำที่เปลี่ยนของเสียจากการโจมตีของข้าศึก (Nature Calls!) และการเด็ดดอกไม้ให้เป็นกระแสไฟฟ้าและปุ๋ย นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังช่วยลดการใช้น้ำในการชำระสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับระบบห้องน้ำที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในประเทศสิงคโปร์

ระบบดังกล่าวมีชื่อว่า โน มิกซ์ แวคคิวอัม ทอยเล็ท (No-Mix Vacuum Toilet) มีโถสุขภัณฑ์สำหรับแยกของเสียจากการปัสสาวะและอุจจาระ ใช้เทคโนโลยีการดูดแบบสุญญากาศ เช่นเดียวกับระบบที่ใช้ในห้องน้ำบนเครื่องบิน ทั้งนี้ การชำระของเสียจากการการเด็ดดอกไม้จะใช้น้ำเพียง 0.2 ลิตร ในขณะที่การชำระของเสียจากการโจมตีของข้าศึกจะใช้น้ำเพียง 1 ลิตรเท่านั้น ส่วนห้องน้ำทั่วๆ ไปในปัจจุบันใช้น้ำในการชำระของเสียสูงถึง 4 ถึง 6 ลิตร ทั้งนี้ หากติดตั้งระบบดังกล่าวตามห้องน้ำสาธารณะกว่า 100 ระบบ ก็จะช่วยประหยัดน้ำประมาณ 160,000 ลิตรในหนึ่งปี ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่เพียงพอสำหรับเติมสระขนาดเล็กที่มีความกว้าง 10  × 8 เมตร ลึก 2 เมตร 

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยางกำลังดำเนินการทดสอบด้วยการติดตั้งโถสุขภัณฑ์ต้นแบบในห้องน้ำภายในมหาวิทยาลัยจำนวน 2 ห้อง และถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้สวย ประชาชนทั่วโลกอาจจะได้เห็นหรือแม้กระทั่งได้นั่งเปลื้องทุกข์บนโถสุขภัณฑ์ดังกล่าวในอีก 3 ปีข้างหน้า

รศ. หวัง จิงหยวน ผู้นำในการวิจัย กล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่แค่การประหยัดน้ำด้วยระบบห้องน้ำระบบใหม่เท่านั้น แต่เป็นการช่วยฟื้นฟูทรัพยากรแบบครบวงจร เพื่อที่จะนำพาประเทศไปยังเป้าหมายการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากมีแหล่งคัดแยกของเสียและกำจัดของเสียมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการฟื้นฟูทรัพยากร เนื่องจากการบำบัดของเสียรวมทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและสิ้นเปลืองเงิน แต่นวัตกรรมระบบห้องน้ำระบบใหม่ ที่ได้รับเงินสนับสนุนงานวิจัยจำนวน 10 ล้านดอลลาร์จากโครงการวิจัยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์ อาจเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจบ้านจัดสรร โรงแรม รีสอร์ท และชุมชนที่ไม่มีระบบน้ำเสีย

ทั้งนี้ โน มิกซ์ แวคคิวอัม ทอยเล็ท จะแยกของเสียจากการเด็ดดอกไม้ไปยังสถานที่คัดแยกเพื่อแยกส่วนประกอบที่ใช้สำหรับทำปุ๋ย เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ขณะเดียวกัน ของเสียจากการโจมตีของข้าศึกก็จะถูกส่งไปยังไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) เพื่อย่อยสลายของเสียเหล่านั้น ก่อนที่จะแยกก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ไม่มีกลิ่นและสามารถใช้แทนก๊าซธรรมชาติในการหุงต้ม นอกจากนี้ ยังสามารถเปลี่ยนก๊าซมีเทนเป็นกระแสไฟฟ้าด้วยการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าโดยอาศัยปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี (Fuel cell) 

อนึ่ง น้ำที่ใช้แล้ว (Grey water) ทั้งจากการซักผ้า อาบน้ำ และล้างจาน สามารถปล่อยไปยังระบบน้ำเสียโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการบำบัดที่ยุ่งยาก ขณะที่ขยะจำพวกเศษอาหารสามารถนำไปย่อยสลายด้วยไบโอรีแอคเตอร์ หรือนำไปเปลี่ยนสภาพก่อนนำไปผสมเป็นปุ๋ย ซึ่งช่วยฟื้นฟูทรัพยากรได้เป็นอย่างดี
 
----------------------------------------------------------

Share on facebookShare on printShare on twitterShare on googleMore Sharing Services

White Goat เปลี่ยนกระดาษ A4 ให้เป็นกระดาษชำระ


บริษัท Oriental Co., Ltd. เปิดตัวเครื่อง White Goat เครื่องแปรสภาพกระดาษ A4 ให้เป็นกระดาษชำระ โดยทำแค่เอากระดาษ A4 สอดเข้าไปในช่องรับกระดาษของเครื่องแล้วกระดาษนี้จะแปรสภาพเป็นกระดาษชำระภายในเวลาไม่นาน 
จากการรายงานของ DigInfo สื่อในประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า เครื่องนี้สามารถแปรสภาพกระดาษ A4 จำนวน 40 แผ่นให้เป็นกระดาษชำระ 1 ม้วนภายในเวลา 30 นาที ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าเครื่องนี้จะช่วยลดปริมาณการตัดต้นไม้ได้ราว 60 ต้นต่อปี  
เครื่องนี้มีมูลค่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3 ล้านบาท มีกำหนดการณ์จะวางจำหน่ายภายในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ แต่ในทางตรงกันข้าม จากการรายงานของเว็บไซต์ Dvice.com ที่ระบุว่า เครื่องนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่คุ้มค่า เนื่องจากราคาเฉลี่ยของกระดาษชำระที่วางจำหน่ายทั่วโลกอยู่ที่ 60 เซนต์ หรือราว 18 บาท เท่านั้น แต่ราคาของเครื่องนี้เทียบเท่ากับราคากระดาษชำระ 2 แสนม้วน ทำให้เราต้องจับตาดูว่าเครื่องนี้จะมียอดขายสูงหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่น่าจะถูกใจคนที่รักสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมากเช่นกัน  





วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภูมิปัญญาไทย

                                        ภูมิปัญญาไทย
  

                    เก็บผักผลไม้ให้สดโดยไม่ง้อไฟฟ้า



เป็นที่ทราบกันดีว่าตู้เย็นตามบ้านทั่วไปช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่ไม่เน่าเสียง่าย  แต่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้อาศัยอยู่กลางทะเลทรายที่จะเก็บรักษาอาหารไว้ให้นานที่สุด เนื่องจากพวกเขายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้งนี้ มูฮัมหมัด บาห์ แอบบา ครูชาวไนจีเรียที่เติบโตมาในครอบครัวช่างปั้น ตระหนักถึงปัญหานี้ดี จึงได้คิดค้นวิธียึดอายุความสดของผักผลไม้อย่างง่ายด้วยการเก็บรักษาไว้ในเครื่องปั้นดินเผา  โดยผลงานดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า เซียร์ (Zeer)  วัสดุที่ใช้ทำประกอบด้วยกระถางดินเผาที่ไม่เจาะรู มีขนาดต่างกัน ขอบหนา 2 ถึง 3 นิ้ว จำนวน 2 ใบ ทรายบริสุทธิ์ 1 ถุง กระสอบป่านสำหรับคลุม วิธีทำก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เททรายลงในกระถางใบใหญ่ให้หนาประมาณ 1 นิ้ว วางกระถางใบเล็กลงบนทรายที่เกลี่ยจนได้ระดับแล้ว จัดกระถางใบเล็กที่ซ้อนอยู่ตรงกลางให้ขอบกระถางอยู่ในแนวเดียวกันกับขอบกระถางใบใหญ่  จากนั้นเททรายในช่องว่างระหว่างกระถางทั้ง 2 ใบ เว้นระยะจากขอบประมาณ 1 นิ้ว นำน้ำมารดทรายให้เปียกชุ่ม และนำผักและผลไม้มาใส่ในกระถางที่วางซ้อน คลุมด้วยกระสอบป่านที่ชุ่มน้ำ เพียงแค่นี้ก็สามารถเก็บอาหารสดได้นานขึ้น 3 ถึง 4 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าสักวัตต์ ซึ่งหากไม่มีการเก็บรักษาผักและผลไม้สดอย่างถูกวิธี จะสามารถเก็บรักษาไว้รับประทานได้เพียง 1 ถึง 2 วันเท่านั้น แต่ทั้งนี้ ควรหมั่นเทน้ำเพื่อให้ทรายชุ่มอยู่ตลอดเวลา อาจจะเทครั้งเดียวหรือสองครั้งต่อวันก็ได้ 
     ซึ่งในเมืองไทยเราสามารถทำได้เพราะอุปกรณ์หาได้ง่ายมีมากในบ้านเรา ซึ่งภูมิปัญญานี้บ้านเราก็มีมานาน
ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุึษ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับยูพีเอส

                                                  เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับยูพีเอส
     เครื่องกำเนิดไฟฟ้า  มีไว้สำหรับจ่ายพลังงานให้กับระบบไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา ซึ่งในการเปิดหรือปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้านั้น จะต้องระวังไม่ให้เกิดแรงดันทรานเซียนท์ และในภาวะปกติแรงดันไฟฟ้าควรมีความเที่ยงตรง +- 2%
         การติดตั้งใช้งานเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    การที่เราต้องการใช้งานเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองอัตโนมัติ ก็เพื่อที่จะให้ระบบไฟฟ้ายังคงใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในกรณีที่แหล่งกำเนิดไฟฟ้าตามปกติหยุดชะงักการจ่ายไฟไปนานๆ และเป็นการลดต้นทุนในการที่จะจัดซื้อแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ๆ หรือมีจำนวนมากๆ ซึ่งจะทำให้มีปัญหาไปถึงห้องเก็บแบตเตอรี่ขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากด้วย
การพิจารณาหาขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองอัตโนมัตินั้นจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบต่างๆให้ครบถ้วน เช่น ความสูญเสียทางกำลังไฟฟ้าของเครื่องยูพีเอส กำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดให้ไฟแบตเตอรี่ และความต้านทานต่อฮาร์มอนิกย้อนกลับจากเครื่องยูพีเอสอีกด้วย
     ตามปกติแล้ว เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะจ่ายพลังงานออกมาได้ เป็นเวลานานที่จะจัดหาเชื้อเพลิงมาได้  แต่ระบบไฟฟ้าที่จะติดตั้งเครื่องกเนิดไฟฟ้าได้นั้น  จะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์โยกย้ายโหลดให้ต่อเข้ากับไฟฉุกเฉินได้ อุปกรณ์นี้เรียกว่า " สวิตช์ย้ายโหลดอัตโนมัติ " ( ATS - Automatic transfer  switch ) หรืออาจจะเป็น " สวิตช์ย้ายโหลดด้วยมือ " ( MTS - Manual transfer twitch ) ก็ได้
      ขั้นตอนที่มีการย้ายโหลดดังกล่าว จะมีช่วงที่การจ่ายพลังงานไฟฟ้าหยุดชะงัก  หรือมีการที่ไฟฟ้าขาดตอนไปบ้าง ( ประมาณ 5 วินาทีถึง 5 นาที ขึ้นอยู่กับค่าที่ตั้งไว้ ) ซึ่ง พอจะแยกความสำคัญของโหลดที่ใช้งานได้เป็น  3 ประเภท  คือ
1. โหลดปกติ ( Normal  load ) โหลดชนิดนี้ เป็นโหลดที่ยินยอมให้มีการหยุดชะงักการจ่ายไฟฟ้าได้นานๆเช่น  แสงสว่าง  ปรับอากาศ
2. โหลดวิกฤต ( Critical  load ) โหลดชนิดนี้เป็นโหลดที่ไม่ยินยอมให้มีการหยุดชะงักการจ่ายไฟฟ้านานเกินครึ่งไซเกิล ( 10 มิลลิวินาที ) เช่น คอมพิวเตอร์ , การสื่อสาร ดังนั้น ดหลดชนิดนี้จึงต้องจ่ายผ่านยูพีเอส และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจ่ายเข้ายูพีเอสอีกขั้นหนึ่ง
3. โหลดจำเป็น ( Essential  load ) โหลดชนิดนี้เป็นโหลดเพื่อความปลอดภัยที่ยินยอมให้มีการหยุดชะงักการจ่ายไฟฟ้าได้ แต่ต้องไม่นานเกิน  30 วินาที เช่น โคมไฟฉุกเฉิน ระบบความเย็นพิเศษ ระบบป้องกันเพลิง ระบบรักษาความปลอดภัย
       การเลือกขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
  การเลือกขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองมาใช้งาน จะต้องพิจารณาถึงหลักการในการเลือกและวิธีการคำนวณขนาดของเครื่องที่เหมาะสม จึงจะเกิดประโยชน์ และเกิดความมั่นคงต่อระบบไฟฟ้าได้มากที่สุด
  การกำหนดขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จะต้องพิจารณาภาวะที่โหลดเริ่มเปิดใช้งาน และโหลดพิเศษซึ่งต้องเพิ่มขนาดพิกัดขึ้นอีก  เพื่อให้เกิดความปลอดภัย คือ
- เครื่องยูพีเอส
- เครื่องแปลงความถี่ไฟฟ้า
- เครื่องประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ ( ชาร์จเจอร์ )
- เตรื่องมือแพทย์
ขั้นตอนเตรียมการ เพื่อคำนวณขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีดังนี้
- เตรียมรายละเอียดของโหลด ( Load schedule )
- พิจารณาแยกโหลด ที่ต้องการใช้ตลอดเวลา
- พิจารณาเรียกโหลด ที่จำเป็นหรือความปลอดภัย
- พิจารณาแยกโหลด  ที่ไม่จำเป็นต้องใช้
ทั้งนี้ วิธีการคำนวณโหลดเป็นวัตต์รวมอย่างง่าย ๆ นั้นถ้าหากไม่ทราบข้อมูล จะสามารถทำได้ดังนี้
1. โหลดแสงสว่าง
   คำนวณวัตต์รวม จากวัตต์ของหลอดไฟและบัลลาส   หากเป็นหลอดไฟ High intensity  discharge  ให้คิดวัตต์ 75% ของหลอด
2. โหลดมอเตอร์
   คำนวณวัตต์รวม จากวัตต์ของมอเตอร์ หากมีแรงม้า  ให้คิดเป็นวัตต์จาก
  กิโลวัตต์      เท่ากับ      แรงม้าที่เนมเพลท  x  0.746
                                              ประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ให้ถือว่า             - 1 แรงม้า              มีประสิทธิภาพประมาณ  70 %
                                 - 10 แรงม้า            มีประสิทธิภาพประมาณ  85 %
                                 - 100 แรงม้า          มีประสิทธิภาพประมาณ  90 %
3. โหลดเครื่องแปลงความถี่
      หากเป็นเครื่องแปลงความถี่ที่เป็นโรตารี่ซึ่งมีการขับเคลื่อน ( หมุน ) ให้คำนวณกิโลวัตต์ได้ และแรงม้าให้คิดเป็นวัตต์จาก
    กิโลวัตต์             เท่ากับ        แรงม้าชุดขับด้านออก x 0.746
                                                          ประสิทธิภาพ
                             ประสิทธิภาพถือว่า  มีค่าประมาณ  90 %
      ในการคำนวณเครื่องแปลงความถี่เป็นโรตารี่  ควรมีการเผื่อไว้เป็นประมาณ 2 เท่า หากเครื่องแปลงความถี่เป็นสแตติก  ควรมีการเผื่อไว้ประมาณ  1.4 เท่า
4. โหลดเครื่องยูพีเอสสแตติก
     คำนวณหาวัตต์รวม  ในภาวะอัดไฟแบตเตอรี่
   กิโลวัตต์              เท่ากับ            กิโลวัตต์ด้านออก  + กิโลวัตต์ในการอัดไฟแบตเตอรี่
                                                      ประสิทธิภาพยูพีเอส
      โดยปกติถือว่า  ประสิทธิภาพยูพีเอสมีค่าประมาณ  85 % และการอัดไฟของแบตเตอรี่มีค่าประมาณ 20 % ของพิกัด
       ในการคำนวณ  ควรเผื่อไว้ประมาณ  1.4 เท่า
                    หลักการทั่วไปในการเลือกเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
       การพิจารณา  ในการเลือกเครื่องกำเนิดไฟฟ้า  มีสามประการ  คือ
1. พิจารณาที่จะยินยอมให้มีโหลดเป็นอุปกรณ์ที่เป็นโซลิดสเตต  เช่น ไทริสเตอร์ มีค่าไม่เกิน 70 % ของโหลดทั้งหมด ส่วนโหลดที่เหลืออีก 30% ให้ถือว่าเป็นโหลดอุปกรณ์ทั่วไป  ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความผิดเพี้ยนของรูปเคลื่อนไฟฟ้า ( Waveform distortion ) มากเกินไปนั่นเอง
2. หากโหลดเป็นเครื่องยูพีเอส  ชนิด 6 พัลล์ ควรจะมีการเผื่อขนาดกำลังไฟฟ้าด้านเข้า ให้เพิ่มขึ้นจากกำลังไฟฟ้าด้านเข้าปกติอีก  100%
3. หากโหลดเป็นเครื่องยูพีเอส  ชนิด 12 พัลส์ ควรจะมีการเผื่อขนาดกำลังไฟฟ้าด้านเข้า ให้เพิ่มขึ้นจากกำลังไฟฟ้าด้านเข้าปกติอีก  50%
                  การคำนวณขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
        โดยปกติ  เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทั่วไป จะรับโหลดโซลิดสเตต  เช่น  ไทริสเตอร์ ได้ประมาณ 55%  ของพิกัดโหลดตามปกติเท่านั้น แต่ก็มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าบางชนิดที่ออกแบบให้รับโห
ถึง  75% ทีเดียว  อย่างไรก็ตามหากเราไม่แน่ใจในเรื่องของชนิดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เราจะหาได้มา  เราก็ควรจะถือไว้ก่อนว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่จะได้นั้น รับโหลดโซลิดสเตตได้เพียง  50-60 % ของพิกัดโหลดตามปกติ  มาใช้ในการคำนวณเลือกขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    ตัวอย่าง  :  การคำนวณเลือกขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองอัโนมัติ
    โจทย์      :  ต้องการให้จ่ายโหลดที่เครื่องยูพีเอส  70 % ของโหลดรวม 1000 เควีเอ และถือว่าระบบมีตัว
                      ประกอบกำลัง ( Power  factor ) 0.8
    การคำนวณ
   โหลดรวม                                     =  KVA x  pf
                                                        =   1000  x 0.8
                                                        =   800                        กิโลวัตต์
   โหลดยูพีเอสด้านออก  70%         =  800  x  0.7
                                                        =   560                         กิโลวัตต์
โดยปกติถือว่า ประสิทธิภาพของยูพีเอสทั้งชุด  ประมาณ  85%
ดังนั้น  โหลดยูพีเอสด้านเข้า           =  560




วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ยูพีเอสคืออะไร

                                  การเปรียบเทียบยูพีเอสชนิดต่างๆ
       ระบบยูพีเอสที่ใช้เทคนิคของทรานซิสเตอร์ จะมีประสิทธิภาพรวมของยูพีเอสทั้งระบบสูงกว่ายูพีเอสที่ใช้ไทริสเตอร์ และสูงกว่ายูพีเอสโรตารี่ กล่าวคือ ยูพีเอสที่ใช้ไทริสเตอร์จะมีประสิทธิภาพรวมสูงกว่ายูพีเอสโรตารี่ประมาณ 7% ส่วนยูพีเอสที่ใช้ทรานซิสเตอร์จะมีประสิทธิภาพรวมสูงกว่ายูพีเอสโรตารี่ประมาณ 10% นั่นคือยูพีเอสที่ใช้ทรานซิสเตอร์จะมีประสิทธิภาพรวมสูงกว่ายูพีเอสที่ใช้ไทริสเตอร์ประมาณ  3 %
     แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงความทนทานแล้ว ยูพีเอสโรตารี่จะมีความทนทานสูงสุด ส่วนยูพีเอสที่ใช้ไทริสเตอร์จะมีความทนทานรองลงมา และยูพีเอสทรานซิสเตอร์จะมีความทนทานต่ำสุด  ดังนั้นในการเลือกชนิดและประเภทของยูพีเอสมาใช้งาน ต้องพิจารณาองค์ประกอบด้านราคา  ความทนทาน  ประสิทธิภาพ  สถานที่จัดเก็บ  และสภาพแวดล้อม ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างระบบยูพีเอสโรตารี่กับระบบยูพีเอสสแตติกจะแยกได้ดังนี้
    การเปรียบเทียบระบบยูพีเอสโรตารี่ กับระบบยูพีเอสสแตติก
รายละเอียด                                    ยูพีเอสโรตารี่                                           ยูพีเอสสแตติก
ประสิทธิภาพรวม                          ประมาณ 87%                                          ประมาณ  89%
ขนาดของเครื่อง                           ใหญ่กว่าสแตติก 20%                              เล็กกว่า
ระดับเสียง                                     ประมาณ 94db                                         ประมาณ 72db
ระบบปรับอากาศ                           ไม่จำเป็นนัก                                             จำเป็นต้องใช้

  ส่วนการเปรียบเทียบคุณสมบัติไฟฟ้าด้านเข้าของระบบยูพีเอสชนิดต่างๆด้านฮาร์มอนิกรวมและด้านตัวประกอบกำลังนั้น พอสรุปได้ดังนี้
   รายละเอียดระบบยูพีเอส                                       THD                                P.F.
เรคติไฟเออร์แบบ  6 พัลส์                                     28 %                                  0.84
เรคติไฟเออร์แบบ  12  พัลส์                                  10 %                                  0.85
เรคติไฟเออร์แบบ 6 พัลส์ ที่มีอุปกรณ์                    9 %                                   0.90
กรองฮาร์มอนิกพิเศษ
ยูนิบล็อคคอนเวอร์เตอร์                                        2 %                                    0.95
      
  การเปรียบเทียบความทนทานต่อการใช้งานของระบบยูพีเอสชนิดต่างๆ ทางด้าน MTBF ( Mean  Time  between  failure ) สามารถสรุปได้ดังนี้
    รายละเอียดระบบยูพีเอส                                                  MTBF (ชั่วโมง )
On  Line Static : Single  Module                                            80,000 - 100,000
On  Line Static : Parallel redundant  Pair                                350,000 - 400,000
Uniblock : Single Uniblock                                                    150,000 - 170,000
Uniblock : Single Uniblock Internally  Redundant                    610,000 - 670,000